การตรวจจับอัคคีภัย (Fire Detection)


การตรวจจับอัคคีภัย (Fire Detection)
               การตรวจจับอัคคีภัยเป็นมาตรการเฝ้าระวังอัคคีภัยโดยใช้เทคนิคทางกลตรวจจับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างมีการลุกไหม้เป็นไฟ (Fire Development Stages) แล้วส่งสัญญาณออกมาเพื่อเป็นการเตือนภัย หรือสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อยุติเหตุก่อนจะเกิดอัคคีภัยหรือการลุกลาม จุดประสงค์หลักของการตรวจจับอัคคีภัย คือ กระตุ้นให้มีการตอบโต้สัญญาณเตือนที่เกิดขึ้น เช่น ดับเพลิงทั้งแบบปกติทั่วไปและ/หรือด้วยอุปกรณ์อัตโนมัติ อพยพคนออกจากพื้นที่นั้น ขนย้ายทรัพย์สิน หยุดการผลิต ฯลฯ และเพื่อให้เกิดความเข้าใจเรื่องของการ ตรวจจับอัคคีภัยดียิ่งขึ้นขออธิบายขั้นตอนการเกิดไฟซึ่งมีด้วยกัน 4 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
ภาพแสดงขั้นตอนการเกิดการลุกไหม้ของอัคคีภัย (Fire Development Stages)
1.           ขั้นเริ่มต้น (Incipient Stage)
เริ่มมีการเผาไหม้ในขั้นแรกสุดแต่ไม่สามารถสังเกตผลผลิตของไฟ (Products of fire) ได้ไม่ว่าจะเป็นควัน เปลวไฟ หรือปริมาณความร้อนที่วัดค่าได้(Appreciable heat) ค่าอันตรายโดยเฉลี่ยจะอยู่ในระดับไม่มีอันตราย” (No hazard)
2.           ขั้นมีควัน (Smoldering Stage)
เริ่มมีควัน แต่ยังไม่มีเปลวไฟหรือปริมาณความร้อนที่วัดค่าได้ ค่าอันตรายโดยเฉลี่ยจะอยู่ในระดับอันตรายปานกลาง” (Moderate hazard)
3.           ขั้นมีเปลวไฟ (Flame Stage)
เริ่มมีเปลวไฟทำให้มองเห็นว่าเป็นไฟแต่ยังไม่สามารถวัดค่าความร้อนได้ทว่าอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆค่าอันตรายโดยเฉลี่ยจะอยู่ในระดับอันตรายปานกลาง” (Moderate hazard) จนถึงอันตรายมาก” (Major hazard)
4.           ขั้นมีความร้อน (Heat Stage)
มีความร้อนที่สามารถวัดค่าได้เกิดขึ้นแล้วและเริ่มมีการลุกลามจนไม่สามารถควบคุมได้ ค่าอันตรายโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับอันตรายมาก”(Major hazard)ระยะห่างระหว่าง Incipient Stage และSmoldering Stage จะกินเวลานับเป็นนาทีหรือนับเป็นชั่วโมง
ระยะห่างระหว่าง Flame Stage และ Heat Stage จะกินเวลานับเป็นนาทีหรือวินาทีสำหรับไฟประเภท B บางชนิด Heat Stage จะเกิดขึ้นหลังจาก Incipient Stage อย่างกระชั้นชิด นั่นคือ นับตั้งแต่เริ่มมีการเผาไหม้ขั้นแรกสุดจนถึงการเกิดไฟลุกลามจะกินเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีตามแนวทางอุดมคติ การตรวจจับอัคคีภัยจะต้องทำให้ได้ในช่วงที่ไฟกำลังอยู่ในขั้นของSmoldering Stage เพราะหลังจากนั้นแล้วแทบจะไม่มีผลอะไรเนื่องจากมีเวลาน้อยมากที่จะกระทำการตอบโต้อย่างได้ผล ไม่ว่าจะเป็นการดับไฟหรือการอพยพ พูดง่ายๆ ถ้าทางเลือกอยู่ที่การดับเพลิง เราจะต้องตัดวงจรของการเกิดไฟไว้ที่ขั้นของ Smoldering Stage อย่างน้อยที่วินาทีสุดท้ายของขั้นตอนนี้ก็ยังดีกว่าจะปล่อยให้ไฟไหม้ไปถึง Flame Stage และหากทางเลือกอยู่ที่การหนีไฟ เราก็จะต้องมีมาตรการตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนให้มีการหนีก่อนที่จะมีการลุกลามไปถึงขั้น Flame Stage และ Heat Stage
อุปกรณ์ตรวจจับอัคคีภัย(Fire Detection Device)
อุปกรณ์ตรวจจับอัคคีภัยจัดเป็นอุปกรณ์เริ่มต้น (Initiating Device) ของระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์หลักในระบบอีก3 ส่วน ได้แก่ อุปกรณ์แจ้งเตือน (Notification Device) แหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้า (Power Supply)ตู้ควบคุม(Control Panel) โดยทั่วไปแล้ว อุปกรณ์เริ่มต้นจะประกอบด้วยอุปกรณ์ตรวจจับความร้อน ควันไฟ เปลวไฟ และอุปกรณ์ที่เป็นตัวกำเนิดสัญญาณเตือนภัยที่ติดตั้งอยู่กับอุปกรณ์
อื่นๆ เช่น วาล์วประกอบสำหรับเครื่องสูบน้ำดับเพลิง วาล์วในระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงแบบอัตโนมัติ ฯลฯ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
 1. แบบควบคุมด้วยมือ (Manual Type)
                 เป็นอุปกรณ์ส่งสัญญาณแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้โดยกระตุ้นด้วยการดึง (Pull Manual Station) หรือการทุบกระจก (Break Glass) และกดปุ่มสัญญาณด้วยคน เมื่อมีการกระตุ้นโดยวิธีดึงหรือกดจะทำให้สวิตช์ทำงานและส่งสัญญาณไปยังแผงควบคุม โดยปกติอุปกรณ์เริ่มต้นแบบมือนี้จะติดตั้งสูงจากพื้นไม่เกิน 1.50 เมตร และติดตั้งห่างกันไม่เกิน 65 เมตร ซึ่งโดยทั่วไปจะติดตั้งที่ทางออกของพื้นที่หรือใกล้กับตู้สายฉีดน้ำดับเพลิงประจำชั้น


2. แบบอัตโนมัติ (Automatic Type)
          เป็นอุปกรณ์เริ่มต้นที่ทำการส่งสัญญาณแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้โดยอัตโนมัติ อุปกรณ์เริ่มต้นอัตโนมัติมีดังต่อไปนี้
1. อุปกรณ์ตรวจจับความร้อน            
2. อุปกรณ์ตรวจจับควันไฟ
3. อุปกรณ์ตรวจจับเปลวไฟ
1. อุปกรณ์ตรวจจับความร้อน (Heat Detector)
อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนเป็นอุปกรณ์เริ่มต้นในระบบการเตือนอัคคีภัย โดยทั่วไปแล้วมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ
1.1 อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนแบบคงที่ (Fixed Temperature)จะทำงานตรวจจับอัคคีภัยเมื่ออุณหภูมิภายในพื้นที่ที่ติดตั้งสูงขึ้นถึงจุดที่ตั้งไว้ล่วงหน้าโดยที่ตัวอุปกรณ์อยู่ในตำแหน่งที่สัมผัสความร้อนนั้นโดยตรง
1.2 อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนที่เพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่ตั้งไว้ (Rate Compensate) จะทำงานตรวจจับอัคคีภัยเมื่ออุณหภูมิภายในพื้นที่ที่ติดตั้งสูงขึ้นถึงจุดที่ตั้งไว้ล่วงหน้าซึ่งอุปกรณ์สามารถตรวจจับความร้อนบริเวณรอบๆ จุดที่ติดตั้งห่างออกไปได้ในระยะที่กำหนดไว้ได้
1.3 อุปกรณ์ตรวจจับความร้อนที่เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนที่ตั้งไว้ (Rate of Rise) จะทำงานตรวจจับอัคคีภัยเมื่ออุณหภูมิภายในพื้นที่ที่ติดตั้งสูงขึ้นแต่ไม่มีการตั้งไว้ล่วงหน้าว่าจะตรวจจับณ ที่อุณหภูมิใดอุณหภูมิหนึ่ง เป็นการตรวจจับเมื่อมีแนวโน้มว่าอุณหภูมิภายในพื้นที่นั้นขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามสัดส่วน (องศาต่อนาที)ปัจจุบันผู้ผลิตหลายรายได้เอาอุปกรณ์สองชนิดมารวมกันเป็นชุดเดียวเรียกว่าอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนแบบรวม (Combination Heat Detector) ซึ่งมีการตรวจจับความร้อนแบบคงที่และแบบการเพิ่มของอุณหภูมิรวมอยู่ภายในอุปกรณ์เดียวกัน มีชิ้นส่วนภายในดังแสดงไว้ในรูป ทั้งนี้ ในการทำงานของอุปกรณ์แบบความร้อนคงที่นั้น อุปกรณ์จะทำงานเมื่อความร้อนถึงจุดที่กำหนดไว้ โลหะที่จับยึดที่จุด F จะเกิดการหลอมละลายซึ่งสปริงที่จุด G จะทำงานแล้วแกนจะเลื่อนตัวไปกระแทกกับจุด D ทำให้หน้าสัมผัสของจุด D และจุด E เชื่อมต่อถึงกันส่งผลให้ระบบเกิดการทำงาน สำหรับการทำงานแบบการเพิ่มอุณหภูมิความร้อนนั้น อุปกรณ์จะทำงานเมื่ออุณหภูมิภายในพื้นที่เพิ่มขึ้น 8 องศาเซลเซียสภายในเวลา 1นาที ซึ่งอากาศที่อยู่ภายในห้อง A
จะเกิดการขยายตัวมีผลทำให้แผ่นไดอะแฟรมที่จุด C มีการเคลื่อนตัวขึ้นแล้วหน้าสัมผัสของจุดD กับจุด E จะสัมผัสกันและจะส่งสัญญาณกลับไปที่ระบบควบคุมต่อไปอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนจะมีการเลือกค่าอุณหภูมิการทำงานเพื่อใช้ในการออกแบบติดตั้งในแต่ละพื้นที่ป้องกันที่แตกต่างกัน โดยรายละเอียดการเลือกอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนให้เป็นไปตามตารางที่แสดงไว้ข้างล่างนี้

2. อุปกรณ์ตรวจจับควันไฟ(Smoke Detector)
อุปกรณ์ตรวจจับควันไฟเป็นอุปกรณ์เริ่มต้นที่นิยมใช้กันมากที่สุด ทำการตรวจจับควันไฟที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ซึ่งสามารถแยกได้เป็น
3 ประเภทตามวิธีการตรวจจับควันไฟ ต่อไปนี้
2.1 แบบประจุไฟฟ้า (Ionization Type)ทำงานโดยอาศัยการตรวจวัดการนำกระแสไฟฟ้าของประจุไฟฟ้า (Ion) ที่ปล่อยออกมาจากแหล่งกำเนิดภายในตัวอุปกรณ์นั้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีควันไฟผ่านเข้ามาในห้องตรวจจับ (Detection Chamber) ของอุปกรณ์ ประจุไฟฟ้าจะไปเกาะติดกับอนุภาคของควันไฟ ทำให้ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านภายในวงจรมีค่าลดลง รูปแบบการทำงานแสดงไว้ในรูป อุปกรณ์ชนิดนี้ ปกติจะใช้ติดตั้งภายในบริเวณที่มีไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็วและมีควันแบบเจือจาง ไม่แนะนำให้ใช้นอกสถานที่หรือบริเวณที่ความชื้นสูง มีสภาพลมแรงมีฝุ่นหรือในครัวอาคาร
2.2 แบบพลังแสง (Photoelectric Type)อุปกรณ์ตรวจจับแบบพลังแสง แบ่งตามลักษณะการตรวจจับเป็นแบบจุด (Spot Type) และแบบต่อเนื่อง (Linear Type) รูปข้างบนแสดงลักษณะการทำงานโดยอาศัยการหักเหของแสงที่ปล่อยออกมาแหล่งกำเนิด (Photo cell) ไปกระทบกับอนุภาคของควัน แล้วตกไปที่อุปกรณ์รับแสง เมื่อมีควันลอยเข้ามาในช่องรับควันของอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะบังหรือเป็นเงาสะท้อนก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของลำแสงดังกล่าวซึ่งจะกระตุ้นให้อุปกรณ์เกิดการทำงานขึ้น อุปกรณ์ชนิดนี้เหมาะสำหรับติดตั้งภายในอาคารเพื่อตรวจจับไฟที่มีควันเจือจางหรือมองไม่เห็นในขั้นSmolderingStage แต่ไม่เหมาะที่จะติดตั้งนอกสถานที่หรือบริเวณที่มีฝุ่นละอองหนาแน่น
2.3 แบบตรวจสอบตัวอย่างอากาศ (AirSampling) มีความละเอียดอ่อนและให้ผลในเชิงป้องกันสูง โดยจะมีการดูดอากาศในบริเวณติดตั้งอุปกรณ์ชนิดนี้เข้าห้องตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง หากตัวอย่างอากาศที่ทำการทดสอบนั้นมีส่วนผสมของควันก็จะมีความหนาแน่นเกินค่ากำหนดที่ตั้งไว้ทำให้อุปกรณ์ตรวจจับก็จะเริ่มต้นทำงานทันที
ตารางแสดงการเลือกอุณหภูมิการทำงานของอุปกรณ์ตรวจจับความร้อน
ประเภทอุณหภูมิ
ช่วงอุณหภูมิทำงาน
(เซลเซียส)
อุณหภูมิมากที่สุด
ที่ใต้เพดาน(เซลเซียส)
รหัสสี
ระดับต่ำ
39-57
28
ไม่มีสี
ระดับปานกลาง
58-79
47
ไม่มีสี
ระดับค่อนข้างสูง
80-121
69
 ขาว
ระดับสูง
122-162
111
 น้ำเงิน
ระดับสูงมาก
163-204
152
 แดง
ระดับสูงมากพิเศษ
205-259
194
 เขียว
ระดับสูงยิ่งยวด
260-302
249
ส้ม



การทำงานของอุปกรณ์แบบประจุไฟฟ้า


การทำงานของอุปกรณ์แบบพลังแสง


อุปกรณ์ตรวจจับรังสีอินฟราเรด (IR)


อุปกรณ์ตรวจจับรังสีอุลตร้าไวโอเลต (UV)

3. อุปกรณ์ตรวจจับเปลวไฟ (Flame Detector)
อุปกรณ์ตรวจจับเปลวไฟ เป็นอุปกรณ์เริ่มต้นที่ทำการตรวจจับรังสีอินฟราเรดและรังสีอุลตราไวโอเลตที่เกิดจากเปลวไฟของเพลิงไหม้การเลือกอุปกรณ์ตรวจจับเปลวไฟเพื่อใช้ติดตั้งในพื้นที่ป้องกัน ควรปรึกษาผู้ผลิตในการเลือกประเภทของการตรวจจับ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพงานจริงๆ ที่จะทำการติดตั้ง การเลือกผิดประเภทจะทำให้การตรวจจับเปลวไฟมีความผิดพลาดและเกิดการแจ้งเตือนที่ผิดพลาดเช่นกันเท่าที่มีใช้งานอยู่ในปัจจุบัน อุปกรณ์ตรวจจับเปลวไฟมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ
3.1 Infrared Flame Detector สำหรับตรวจจับรังสีอินฟราเรด (IR) และแสงที่เกิดจากเปลวไฟในช่วงเวลา 3-5 วินาที นิยมใช้กันในบริเวณที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดเพลิงไหม้จากเชื้อเพลิงประเภทไฮโดรคาร์บอน เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซแอลพีจี ฯลฯ แต่ไม่เหมาะสมในการใช้ตรวจจับไฟจากเชื้อเพลิงประเภทโพลาร์โซลเว้นท์หรือประเภทก๊าซความดันสูง รวมทั้งไฟที่ลุกในขั้น Smoldering Stage
3.2 Ultraviolet Flame Detector สำหรับตรวจจับความยาวคลื่นของรังสีอุลตร้าไวโอเลต(UV) ที่เกิดจากเปลวไฟในช่วงเวลา 0.1 วินาทีเหมาะสำหรับการตรวจจับอัคคีภัยที่ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ติดตั้งได้ทั้งในและนอกสถานที่เทียบกับเครื่องตรวจจับรังสีอินฟราเรดแล้ว เครื่องตรวจจับรังสีอุลตร้าไวโอเลตสามารถตรวจจับได้เร็วกว่า แต่มีข้อจำกัดหลายประการเช่น ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในบริเวณที่มีแสงวาบรบกวน บริเวณที่มีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกต่างๆ ในอากาศ ในขณะที่เครื่องตรวจจับรังสีอินฟราเรดไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
3.3 UV/IR Flame Detector เป็นอุปกรณ์แบบผสมเพื่อตรวจจับรังสีอินฟราเรดและอุลตร้าไวโอเวตพร้อมกัน (แยกคนละหัวจับรังสี) โดยที่ผลการตรวจจับจะต้องออกมาว่า กรณีนั้นมีทั้งรังสี UV และรังสี IR จึงจะตอบรับและแสดงผลเป็นอัคคีภัย หากตรวจจับได้เพียง UV หรือ IRอย่างใดอย่างหนึ่ง อุปกรณ์จะไม่ตอบรับและจะไม่ส่งสัญญาณเตือนออกไป นิยมใช้กันมากตามโรงกลั่นน้ำมัน แท่นขุดเจาะ สนามบิน โรงเก็บอากาศยาน ฯลฯ

อุปกรณ์แจ้งเตือนอัคคีภัย (Notification Device)
อุปกรณ์แจ้งเตือนอัคคีภัย มี 2 แบบ คือแบบสัญญาณเสียง (Audible) และแบบสัญญาณแสง (Visual)
1. อุปกรณ์แบบสัญญาณเสียง ประกอบด้วยกระดิ่งไฟฟ้า (Alarm Bell) แตร (Horn) ลำโพง(Loudspeaker)และออด (Buzzer)
2. อุปกรณ์แบบแสง ประกอบด้วยแสงกะพริบ (Flash Light) และกล่องป้ายไฟ (FireText Box)
3. แหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้า (Power Supply)โดยปกติทั่วไปแล้ว แหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในตู้ควบคุมจะเป็นไฟฟ้ากระแสตรงขนาด 24 โวลต์ แหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
·       แหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าหลัก จะต้องมีแรงดันคงที่และสม่ำเสมอตลอดการใช้งาน และจะต้องต่อจากวงจรย่อยที่ใช้สำหรับระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้เท่านั้น
แหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าสำรอง จะต้องสามารถสับเปลี่ยนแทนแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าหลักได้โดยอัตโนมัติภายในเวลา 30 วินาที หลังจากแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าหลักเสียหรือเมื่อแรงดันไฟฟ้าต่ำกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ โดยแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าสำรองนี้จะต้องจ่ายกำลังไฟฟ้าเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างปกติไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงและเมื่อครบ 24 ชั่วโมงแล้วจะต้องจ่ายกำลังไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์แจ้งเตือนได้อีกไม่น้อยกว่า 5 นาทีแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าสำรองปกติทั่วไปจะเลือกใช้เป็นแบตเตอรี่แบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่น (Free Maintenance) ซึ่งขนาดของแบตเตอรี่ที่เลือกใช้จะต้องสามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับระบบได้นานไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง
4. ตู้ควบคุม (Control Panel) คือส่วนควบคุมและตรวจสอบการทำงานของระบบและอุปกรณ์ประกอบระบบทั้งหมดซึ่งประกอบด้วยวงจรตรวจสอบการทำงานของระบบและอุปกรณ์ประกอบระบบ วงจรป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร วงจรแจ้งเตือนทั้งในสภาวะการทำงานปกติและสภาวะการทำงานที่มีเหตุขัดข้องเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ตรวจจับสายสัญญาณหรือแผงวงจรในการทำงานของระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้นั้น อุปกรณ์เริ่มต้น เช่นอุปกรณ์ตรวจจับความร้อน ควันไฟ เปลวไฟและอื่นๆ ที่ติดตั้งอยู่จะส่งสัญญาณมายังแผงควบคุม
เมื่อมีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นภายในพื้นที่ป้องกันจากนั้นแผงควบคุมจะประมวลผลและส่งสัญญาณ
ออกไปยังอุปกรณ์แจ้งเตือนเพื่ออพยพคนและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าดับเพลิงในพื้นที่นั้นโดยปกติตู้ควบคุมการทำงานของระบบจะต้องมีการกำหนดประเภทก่อนเสมอโดยระบบสำหรับตู้ควบคุมนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ แบบสายเดี่ยว (Hard Wire) และแบบสายร่วม (Multiplex) การทำงานของระบบทั้งสองมีความแตกต่างกัน คือ
·       แบบสายเดี่ยว มีการเดินสายสัญญาณของโซนต่างๆ แยกออกจากกันอย่างชัดเจนและในแต่ละโซนนั้นก็จะมีการจำกัดจำนวนอุปกรณ์ตรวจจับแบบควันไฟ เมื่อมีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นตู้ควบคุมจะสามารถแจ้งตำแหน่งอุปกรณ์ตรวจจับได้เป็นเพียงโซนพื้นที่เท่านั้น จะไม่สามารถระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ตรวจจับได้อย่างชัดเจน
·       แบบสายร่วม การเดินสายสัญญาณจะใช้เพียงชุดเดียวเท่านั้น โดยสายสัญญาณจะเดินไปหาอุปกรณ์ตรวจจับและอุปกรณ์แจ้งเหตุเป็นแบบอนุกรมในกรณีที่มีเหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นตู้ควบคุมจะสามารถระบุตำแหน่งที่อยู่ของอุปกรณ์ที่ตรวจจับเพลิงไหม้ได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ อุปกรณ์ตรวจจับที่ใช้กับระบบนี้จะต้องเป็นประเภทระบุตำแหน่งได้ (Addressable Type) เท่านั้น


5. การติดตั้ง อุปกรณ์ตรวจจับเพลิงไหม้
                แต่ละประเภทจะมีระยะการติดตั้งที่แตกต่างกันออกไป โดยปกติแล้ว อุปกรณ์ตรวจจับควันไฟจะมีระยะการติดตั้งที่ห่างมากกว่าอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนสำหรับอุปกรณ์ตรวจจับเปลวไฟจะมีการติดตั้งเฉพาะที่ในพื้นที่ที่เมื่อเกิดเพลิงไหม้จะทำให้เกิดเปลวไฟอย่างชัดเจน เช่น ภายในโรงเก็บของเหลวติดไฟ ห้องหม้อแปลงไฟฟ้า ฯลฯระยะห่างในการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับเพลิงไหม้แต่ละประเภทจะมีระยะห่างที่ได้กำหนดไว้โดยผู้ผลิตซึ่งได้ทำการผลิตและส่งอุปกรณ์ไปทดสอบในห้องทดสอบซึ่งผลที่ได้จากการทดสอบจะเป็น
ค่าที่นำมาใช้ในการกำหนดระยะการติดตั้งของอุปกรณ์ตรวจจับแต่ละประเภทปกติแล้ว ถ้าหากความสูงของพื้นที่ที่ต้องการป้องกันมีมากกว่า 9 เมตร การติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับที่เป็นแบบจุดจะไม่สามารถทำการตรวจ
จับเพลิงไหม้ได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นเมื่อความสูงเกิน 9 เมตร จึงควรเลือกใช้อุปกรณ์ตรวจจับแบบต่อเนื่อง เช่น แบบลำแสง เป็นต้นการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับเพลิงไหม้โดยทั่วไป ต้องไม่ติดตั้งในพื้นที่ใต้ฝ้าเพดานต่ำลงมา100 มิลลิเมตร และยาวลาดไปในแนวฝ้าเพดานวัดออกไปจากมุมห้อง 100 มิลลิเมตร ดังนั้นเมื่อทำการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับเพลิงไหม้ ห้ามติดตั้งภายในพื้นที่ดังกล่าวเนื่องจากอุปกรณ์ตรวจจับเพลิงไหม้จะไม่สามารถทำการตรวจจับเพลิงไหม้ได้อย่างถูกต้องหรือทำการตรวจจับเพลิงไหม้ได้ช้ากว่าปกติกรณีมีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับเพลิงไหม้ใต้พื้นที่ที่มีการยกพื้น เช่น ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องสื่อสาร ห้องประชุม ฯลฯการติดตั้งต้องทำตามวิธีการที่กำหนดขึ้นโดยเฉพาะ (ตามรูป)
วิธีติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับใต้พื้นที่ที่มีการยกพื้น                                                           

การตรวจสอบ การทดสอบ และ การบำรุงรักษาระบบ
·       การตรวจสอบระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้จะต้องปฎิบัติตามรายละเอียดในตารางแสดงระยะเวลาในการตรวจสอบ (ตาราง A)
·       การทดสอบระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ มีขั้นตอนในการปฏิบัติตามตารางแสดงขั้นตอนการทดสอบอุปกรณ์ (ตาราง B) และการทดสอบระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ตามรายละเอียดในตารางดังกล่าวจะต้องมีความถี่ในการทำการทดสอบระบบตามรายละเอียดในตารางความถี่ในการทดสอบอุปกรณ์ (ตาราง C)ความถี่ในการตรวจสอบและการทดสอบอุปกรณ์ในตาราง A และ C เป็นความต้องการ
เบื้องต้นของการทำงาน ซึ่งความถี่ในการตรวจสอบและการทดสอบอุปกรณ์สามารถทำได้ถี่กว่าที่แนะนำในตารางขึ้นกับดุลยพินิจของผู้รับผิดชอบหรือหน่วยงานที่ดูแลรักษา โดยให้พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมและพื้นที่ในการติดตั้งระบบ เช่น บริเวณที่มีความเค็ม (อยู่ใกล้น้ำทะเล) หรือ พื้นที่มีฝุ่นละอองมากที่อาจทำให้อุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้ชำรุดหรือแจ้งเหตุผิดพลาดได้พึงตระหนักไว้ว่าอุปกรณ์ตรวจจับอัคคีภัยและอุปกรณ์ต่างๆในระบบ มีความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จะต้องมีการติดตั้งโดยผู้ชำนาญงานและมีการบำรุงรักษาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

อ้างอิง
        http://www.safetylifethailand.com/download/fire_detection.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น